CATEGORY : ความได้เปรียบเสียเปรียบไทยในAEC
หนึ่งในหน่วยงานหลักของไทยที่ขับเคลื่อนประเทศเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC) นั่นก็คือ กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ โดยนางพิรมล เจริญเผ่า อธิบดีกรมเจรจรการค้าระหว่างประเทศคนใหม่ ซึ่งเข้าดำรงตำแหน่งมากว่า 2 เดือน กล่าวว่า กรมจะให้ความสำคัญกับเรื่องAEC เป็นอันดับแรก โดยจะมุ่งผลักดันให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ประเทศไทยกำหนดตัวเองว่าจะเป็น “ประตูสู่อาเซียน” แต่ที่ผ่านมามีการนำไปปฏิบัติน้อยมาก กรมจึงจะเพิ่มบทบาทในจุดนี้ให้มากขึ้นเพื่อให้ทันภายใน 3 ปี นับจากนี้ โดยกำลังดูเรื่องการทำงานของศูนย์AEC ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ที่จากนี้ไปจะไม่ใช่หน่วยงานให้ข้อมูลเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่จะผนึกพันธมิตรให้เข้ามาร่วมกันทำงาน ไม่ว่าจะเป็นธนาคารพาณิชย์ สำนักงานที่ปรึกษา สำนักงานบัญชี เป็นต้น เพื่อเวลาที่ต่างชาติเข้ามาขอคำแนะนำการลงทุนในอาเซียน ศูนย์แห่งนี้ก็จะมีความพร้อมให้ข้อมูลเปรียบเทียบของแต่ละประเทศ สำหรับใช้ในการตัดสินใจว่าจะลงทุนได้
ปัจจุบันอาเซียนได้รับความสนใจจากทุกเวทีและการทำงานที่ผ่านมาของอาเซียนก็มีความเข้มข้น เข้าใจกันมากขึ้น แสดงให้เห็นถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันโดยการดำเนินการใดๆ ก็จะมองถึงประโยชน์ของอาเซียนเป็นหลัก ขณะที่ไทยเองได้รับความสนใจจากต่างชาติ ที่ไม่ว่านักลงทุนต่างชาตินั้นๆ จะสนใจเข้าไปลงทุนในประเทศใดก็ตามในอาเซียน แต่ก็เห็นว่าไทยเป็นประเทศแรกที่จะเข้ามาติดต่อ ซึ่งก็ตรงกับเป้าหมายของเราที่จะเป็นประตูสู่อาเซียนอยู่แล้ว จากจุดนี้เราจึงจะขับเคลื่อนด้วยการที่ไทยจะผันตัวเองให้เป็น รีจินัล เฮด ออฟฟิศ อีกทางหนึ่งด้วย โดยการจะไปสู่จุดที่ว่าได้นั้น จะต้องร่วมมือกับสถาบันการศึกษาด้วยในการเตรียมความพร้อมด้านบุคลากร ซึ่งหากไทยทำได้ตามที่คาดหวังไว้ ก็จะทำให้ได้ประโยชน์มากขึ้น
อีกเรื่องสำหรับAEC คือการเพิ่มศักยภาพให้แก่ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่จะต้องส่งเสริมให้ออกไปข้างนอกในเชิงรุกมากขึ้น ไม่ใช่เพียงการตั้งรับภายในเท่านั้น อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ กรมคงไม่สามารถทำคนเดียวได้ แต่จะต้องร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมประชาสัมพันธ์ที่ให้เข้ามาช่วยในการใช้สื่อต่างๆ ส่งผ่านไปยังผู้ประกอบการทั่วประเทศ ในการทำงานนั้นจะมุ่งผลักดันไปพร้อมๆ กันทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ ซึ่งต้นน้ำก็เป็นการเจรจา ส่วนกลางน้ำในขณะนี้ก็เป็นเรื่องมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (เอ็นทีบี) ซึ่งที่ผ่านมาตนได้รับการ้องเรียนเข้ามามาก แต่ยังไม่มีหน่วยงานใดรับเป็นแม่งาน จึงอาสาเข้ามาช่วยดำเนินการ ซึ่งที่ได้เข้าไปเจรจาแล้วก็คือเรื่องข้าวโพดกับลาว และกัมพูชา ถือว่าได้รับการตอบรับที่ดี และที่กำลังเข้าไปดูก็คือกับอินโดนีเซีย ขณะที่ปลายน้ำก็คือการผลักดันให้เกิดการปฏิบัติเพื่อเดินหน้าไปสู่เป้าหมาย
สำหรับความคืบหน้าในการเจรจาเปิดเสรีการค้ากับประเทศต่างๆ นั้น ขณะนี้ การเจรจาเอฟทีเอไทย-ชิลี ขณะนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว คาดว่าจะมีการลงนามกันในเดือนมกราคมปี 2556 นี้ และที่จะตามมาคือ เอฟทีเอ ไทย-เปรู คาดว่าจะเจรจาแล้วเสร็จภายในต้นปีหน้าเช่นกัน นอกจากนี้ ยังมีที่เจรจาแบบทวิภาคีอีกคือเอฟทีเอไทย-อินเดีย ที่ขยายรายการสินค้าเพิ่มเติม และเอฟทีเอไทย-ยุโรป ส่วนการเจรจาในพหุภาคีที่ได้ประกาศล่าสุดคือ ความตกลงพันธมิตรทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค อาเซียน +6 (จีน ญี่ปุ่น เกาหลี อินเดีย ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์) หรือ RCEP ซึ่งจะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นลำดับรองลงมา
เอฟทีเอ เป็นเสมือนมาตรการผลักดันให้การค้ามีความโปร่งใส และราบรื่น ซึ่งก่อนที่แต่ละประเทศจะตกลงทำเอฟทีเอ จะต้องมีการปรับกฎระเบียบภายในประเทศให้อยู่ในระดับเดียวกัน ถือเป็นแรงบีบอย่างหนึ่งที่ทุกหน่วยงานจะต้องพัฒนาตัวเอง โดยเอฟทีเอ ถือเป็นการค้าเสรีระดับต้นๆ แต่ก็จะมีระดับที่ยากขึ้นและระดับสูงสุดก็คือ ทีพีพี อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเจรจาใดๆ ขอยืนยันว่าจะยึดผลประโยชน์ของชาติเป็นหลัก
เอฟทีเอ ยังจะเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศอีกทางหนึ่งด้วย จะเห็นได้จากมาเลเซีย ถือว่าแซงหน้าประเทศไทยไปแล้ว ซึ่งหากเข้าไปดูในรายละเอียดจริงๆ จะพบว่ามาเลเซียยกตัวเองขึ้นมาได้ด้วยการเข้าร่วมเจรจาเอฟทีเอในทุกรูปแบบ หากล่าช้า เราจะตกขบวนสิ่งที่จะตามมาคือการที่เราจ่ายแพงกว่านั่นเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น