วันอังคารที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

10 สถานที่ท่องเที่ยวที่ต้องไปในอาเซียน


            10 สถานที่ท่องเที่ยวในประเทศอาเซียนต่อไปนี้ที่ครั้งหนึ่งคุณต้องไป  มีทั้งสถานที่ที่เป็นโบราณสถาน ศูนย์การค้า สถานที่ท่องเทียวสวยงามซึ่งติดอันดับต้น ๆ ของโลก ซึ่งเป็นที่หน้าสนใจเป็นอย่างมาก และไม่ไกลจากบ้านเรามาก และในสมัยนี้การเดินทางไปยังประเทศเพื่อนบ้านในประชาคมอาเซียนไม่ยุ่งยากอย่างแต่ก่อนจึงทำให้เป็นที่หน้าสนใจในการพักผ่อนเป็นอย่างยิ่ง


1. หมู่เกาะพีพี (ประเทศไทย)

เกาะพีพีดอน ที่มา : http://www.thaiforestbooking.com/npark/pictures/np/NP35T3P1065.JPG
เกาะพีพีดอน
ที่มา : http://www.thaiforestbooking.com/npark/pictures/np/NP35T3P1065.JPG
เกาะพีพีดอน  เป็นเกาะที่สวยงามติดอันดับ 5 ของโลกด้วยอ่าวที่สวยงาม คือ อ่าวต้นไทรและอ่าวโละดาลัมที่อยู่ใกล้ชิดติดกัน คั่นกลางด้วยผืนดินแคบ ๆ เพียบพร้อมด้วยที่พัก ร้านค้า และสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับนักท่องเที่ยว รอบเกาะมีแนวปะการังขนาดเล็ก เหมาะสำหรับการอาบแดดเล่นน้ำทะเล ทางตอนเหนือของเกาะพีพีดอนยังมีเกาะไม้ไผ่และเกาะยุง  เกาะเล็ก ๆ ซึ่งงดงามด้วยหาดทรายขาวละเอียด แนวปะการังน้ำตื้น และสัตว์น้ำนานาชนิด เหมาะกับการดำน้ำตื้น

เกาะพีพีเล ที่มา : http://travel.kapook.com/view5569.html
เกาะพีพีเล ที่มา : http://travel.kapook.com/view5569.html
เกาะพีพีเล อยู่ทางใต้ของเกาะพีพีดอน มีอ่าวที่สวยงามและมีชื่อเสียงระดับโลกจากภาพยนตร์เรื่อง The Beach คืออ่าวมาหยาที่มีหาดทรายขาวล้อมรอบด้วยผาหินสูงชัน เหมาะกับการเล่นน้ำ ดำน้ำ ไม่ไกลจากอ่าวยังมีถ้ำไวกิง ซึ่งมีภาพเขียนยุคก่อนประวัติศาสตร์และเป็นแหล่งเก็บรังนกนางแอ่น บริเวณเกาะบิดะนอกและเกาะบิดะในซึ่งเป็นเกาะเล็ก ๆ อยู่ใกล้กัน ยังมีผาหินใต้น้ำสูงชัน ถ้ำใต้ทะเล ปะการังอ่อน รวมทั้งสัตว์น้ำประเภทกุ้งขนาดเล็ก เหมาะกับการดำน้ำลึก

2.  ตึกแฝดเปโตรนาส petronas twin tower (ประเทศมาเลเซีย)

ตึกเปโตรนาส ที่มา : sawasdeemalaysia.com/ตึกแฝดเปโตรนาส-petronas-twin-tower/
ตึกเปโตรนาส
ที่มา : sawasdeemalaysia.com/ตึกแฝดเปโตรนาส-petronas-twin-tower/
 ตึกแฝดที่สูงที่สุดในโลก ที่สูงตระหง่านถึง 452 เมตร มีด้วยกัน 88 ชั้น ใช้งบประมาณการก่อสร้าง 20,000 ล้านบาท ซึ่งเจ้าของตึกนี้เป็นเจ้าของน้ำมันยี่ห้อเดียวตึกนั่นเอง ส่วนการออกแบบตึกได้รับแรงบันดาลใจจากเสาหินทั้ง 5 ของอิสลาม ผสมผสานกับโครงเหส็กที่ท่อหุ้มในแต่ละจุด ทำให้เป็นสถาปัตยกรรมที่สวยงามแปลกตามากเลยทีเดียว
ภายในตึกนี้จะเป็นแหล่งความรู้ ศิลปะ วัฒนธรรม ดนตรี บันเทิง และแหล่งซ็อบปิ้งขนาดใหญ่นั่นคือ ห้างสรรพสินค้า ซูเลีย ห้างสรรพสินค้าที่มีสินค้าแบรนด์เนมนานาชาติที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่ง
สิ่งที่น่าสนใจอยู่ที่ชั้น 4 ของ KLCC นี้ เรียกว่า เปโตรซายน์ส (Petrosains) เป็นศูนย์วิทยาศาสตร์ที่ทันสมัยมากที่สุด แห่งหนึ่ง ที่ศูนย์แห่งนี้เปิดทุกวันตั้งแต่ 14.30 – 19.00 น. ปิดทุกวันจันทร์

 3. ยูนิเวอร์แซลสตูดิโอ (ประเทศสิงค์โปร์) 

ยูนิเวอร์แซล ที่มา : http://www.skyscanner.co.th/sites/co.th/files/singapore_universal-studio_2.jpg
ยูนิเวอร์แซล ที่มา : http://www.skyscanner.co.th/sites/co.th/
files/singapore_universal-studio_2.jpg
ยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ สิงคโปร์ สวนสนุกแห่งใหม่ในเครือบริษัทยูนิเวอร์แซล พาร์ค แอนด์ รีสอร์ท ที่ได้เปิดสวนสนุกในรัฐฟลอริดาและแคลิฟอร์เนียของสหรัฐ รวมถึงญี่ปุ่น ยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ สิงคโปร์ เป็นสวนสนุกในเครือยูนิเวอร์แซลแห่งแรกที่เปิดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และกำลังจะเปิดที่ดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
ในสวนสนุกยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ สิงคโปร์ มีเครื่องเล่นทั้งหมด 24 ชนิด โดยเป็นเครื่องเล่นที่ออกแบบใหม่จำนวน 18 ชนิด พื้นที่สวนสนุกประกอบด้วยธีมปาร์คที่รวมตัวละครและสถานที่ในภาพยนตร์แอนิเมชั่นชื่อดังของบริษัทดรีมเวิร์คส์ แอนิเมชั่น คือมาดากัสการ์ (Madagascar) และเชร็ค (Shrek)

4. ป้อมซานติเอโก Fort Santiago (ประเทศฟิลิปปินส์)

ป้อมซานติเอโก ที่มา : http://www.tourinloveallway.com/images/Philippines_View2.png
ป้อมซานติเอโก ที่มา :http://www.tourinloveallway.com/images/Philippines_View2.png
ป้อมซานติเอโกเป็นด่านแรกที่ป้องกันการโจมตีจากข้าศึก ที่เข้ามาทางปากแม่น้ำปาซิก จากอ่าวมะนิลา ป้อมแห่งนี้ถูกทำลายจากการโจมตีของกองทัพสหรัฐ ต่อมาได้บูรณะซ่อมแซมเพื่อให้เป็น “ ปูชนียสถานแห่งเสรีภาพ ” (Shrine of Freedom) บริเวณรอบป้อมมีสวนหย่อม รายล้อมโดยมีรถม้าให้บริการ พาชมรอบบริเวณ บริเวณดังกล่าว ยังมีสถานที่คุมขังนักโทษ ที่อยู่บริเวณริมแม่น้ำปากแม่น้ำปาซิก และส่วนหนึ่งของป้อมนี้ ถูกทำเป็นสนามกอล์ฟอย่างสวยงาม

5. มัสยิดทองคำ Jame Ar’ Hassanil Bolkiah Mosque (ประเทศบรูไน)

มัสยิดทองคำ ที่มา : http://www.skadiatravel.com/upload/images/Image/Home/Picture/1.jpg
มัสยิดทองคำ ที่มา : http://www.skadiatravel.com/upload/images/Image/Home/Picture/1.jpg
มัสยิดทองคำ Jame Ar’ Hassanil Bolkiah Mosque มัสยิดที่สง่างาม และศักดิ์สิทธิ์ของชาวบรูไน ที่ใช้งบประมาณในการสร้างมหาศาล โดยมีการนำเข้าวัสดุการก่อสร้างและตกแต่งจากทั่วทุกมุมโลกใช้เวลาก่อสร้างนานถึง 7 ปี มีห้องสวดมนต์ 2 ห้องแยกชายและหญิงบันไดทางขึ้นแต่ละชั้นจะมี 29 ขั้น ห้องละหมาดด้านบนตกแต่งอย่างวิจิตรด้วยพรมสีเหลืองทองดูสว่างไสว จากนั้นนำท่านชมมัสยิด โอมาร์ อาลี ไซฟูดติน มัสยิดเก่าแก่อันเป็นที่เคารพสักการะของชาวบรูไนตั้งอยู่ใจกลางกรุงบันดาร์ เสรีเบกาวัน

6. เกาะบาหลี (ประเทศอินโดนีเซีย)

เกาะบาหลี ที่มา : http://www.traveladdict.in.th/เกาะบาหลี-มนต์เสน่ห์ที่/
เกาะบาหลี ที่มา : http://www.traveladdict.in.th/เกาะบาหลี-มนต์เสน่ห์ที่/
เกาะบาหลี (ประเทศอินโดนีเซีย) เกาะบาหลี ได้รับการขนานนามว่า “ อัญมณีแห่งมหาสมุทรอินเดีย ” อยู่ทางทิศตะวันออกของเกาะชวา บาหลีเป็นเกาะเล็ก ๆ ที่มีความยาวจากหัวเกาะถึงท้ายเกาะประมาณ 150 กิโลเมตร อยู่ติดกับเกาะชวา มีประชากรประมาณ 3 ล้านคน บาหลีได้ฉายาว่าเกาะมรกตเพราะมีต้นไม้เขียวขจีไปทั้งเกาะ เนื่องจากได้รับการอนุรักษ์สภาพแวดล้อมไว้ดีเยี่ยมมีกฏหมายไม่ให้ปลูกสิ่งก่อสร้างที่เป็นสิ่งแปลกปลอมจากธรรมชาติ โดยอาคารที่สร้างจะสูงกว่า 15 เมตรไม่ได้ บาหลีเป็นตัวอย่างของแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับการดูแลรักษาเอาไว้ให้คงอยู่ในสภาพเดิมมากที่สุด ธรรมชาติที่บริสุทธิ์เป็นเสน่ห์ของบาหลี ที่ทำให้นักท่องเที่ยวทั่วโลกอยากไปชมกัน ความหลากหลายและมนต์เสน่ห์ของเกาะบาหลี ถูกขนานนามมากมายว่าเป็น เกาะแห่งพระเจ้าบ้าง เป็นจุดรุ่งอรุณของโลกบ้าง ทั้งหมดนี้ เกิดจากความประทับใจของผู้ที่เคยไปเยือน

 7. วัดพระธาตุหินขาว (ประเทศพม่า)

วัดพระหินขาว ที่มา : http://www.gmwebsite.com/upload/somsiritours.com/content/วัดพระหินขาว.jpg
วัดพระหินขาว ที่มา : http://www.gmwebsite.com/upload/somsiritours.com/content/วัดพระหินขาว.jpg
วัดพระหินขาวหรือที่มีชื่อเรียกอย่างทางการว่า “ Lawka Chantha AbayaLabamuni Buddha Image ” พระหินขาวนี้สร้างจากหินขาวที่มีลักษณะมันวาว สีขาวสะอาดและไม่มีตำหนิ สูง 37 ฟุต กว้าง 24 ฟุต หนัก 600 ตัน เป็นพระพุทธรูปประทับนั่ง พระหัตถ์ขวาบรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่อัญเชิญมาจากสิงคโปร์ และศรีลังกายกขึ้นหันฝ่าพระหัตถ์ออกจากองค์ หมายถึงการไล่ศัตรูและประทานความเจริญรุ่งเรือง นอกจากนี้ยังมีการนำหินที่เหลือมาสลักเป็นพระพุทธบาทซ้าย-ขวา  ประดิษฐานอยู่ บริเวณด้านหลังพระพุทธรูปด้วย จากนั้นชมช้างเผือกคู่บ้านคู่เมืองของประเทศพม่าในบริเวณใกล้กัน

8. ปราสาทนครวัด (ประเทศกัมพูชา)

ปราสาทนครวัด ที่มา : http://postfree.ohohey.com/files/1000/image_756_1322035615.jpg
ปราสาทนครวัด ที่มา : http://postfree.ohohey.com/files/1000/image_756_1322035615.jpg
ดินแดนกัมพูชาหรืออาณจักรขอมโบราณนั้นได้รับอิทธิพลทางศาสนาและวัฒนธรรมจากอินเดียเต็มตัวโดยเฉพาะความเชื่อตามคติในศาสนาพราหมณ์หรือฮินดู ซึ่งเข้ามามีอิทธิพลก่อนพุทธศาสนาเนิ่นนานนักศาสนานี้ยกย่องกษัตริย์เสมอดั่งเทพเจ้าเรียกว่า “ ลัทธิเทวราชา ” นั่นหมายถึงว่า กษัตริย์คือตัวแทนของเทพเจ้าบนโลกมนุษย์และวิธีการยกย่องก็กระทำโดยการสร้างเทวสถานหรือเทวาลัยถวายให้ พระราชภารกิจของกษัตริย์ขอมทุกพระองค์ ที่จะต้องสร้างปราสาทหินเป็นเทวสถานแด่บรรพบุรุษหรือถวายแด่พระองค์เอง ฉะนั้นคำว่า “ ปราสาท ” ในที่นี้จึงมิได้หมายถึงปราสาทราชวังอันเป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์ แต่ปราสาทคือศาสนสถานอันถือเป็นที่ประทับของเทพเจ้าบนโลกมนุษย์ รูปแบบทางสถาปัตยกรรมก็จะต้องเป็นแบบ “ ศาสนสถานบนฐานที่เป็นชั้น ” และขุดสระหรือคูน้ำที่เขมรเรียกว่า“บาราย” ล้อมรอบมีลวดลายสลักหินเป็นรูปพญานาคซึ่งเป็นสัญลักษณ์น้ำและความอุดมสมบูรณ์ เปรียบเทียบได้กับเขาพระสุเมรุที่ล้อมรอบด้วยมหาสมุทร อันเป็นสัญลักษณ์ของระบบสุริยจักรวาลตามคติฮินดูนั่นหมายว่า ปราสาทหินที่กษัตริย์ขอมสร้างขึ้นก็คือศูนย์กลางของโลกและจักรวาลอันยิ่งใหญ่นั่นเอง

 9. พระราชวังหลวงพระบาง (ประเทศลาว)

http://www.trekkingthai.com/webboard/backpacker/0371.jpg
พระราชวังหลวงพระบาง
ที่มา :http://www.trekkingthai.com/webboard/backpacker/0371.jpg
พระราชวังหลวงพระบาง หลังนี้เป็นอาคารเก่า ออกแบบโดยสถาปนิกชาวฝรั่งเศส ลักษณะอาคารเป็นอาคารชั้นเดี่ยวยกพื้นสูง สถาปัตยกรรมแบบฝรั่งเศส แต่เป็นการผสมผสานระหว่างฝรั่งเศสและลาว ด้านนอกอาคารเป็นที่ตั้งของอนุสาวรีย์เจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ พระราชวังแห่งนี้เป็นที่ประทับของเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวงศ์ เป็นระยะเวลานนาน จนสิ้นพระชนม์ ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ.2518 พระราชวังหลวงพระบาง ได้ถูกปรับเปลี่ยนให้เป็นพิพิธภัณฑ์

10. ฮาลองเบย์ (ประเทศเวียดนาม)

ฮาลองเบย์ ที่มา : http://www.scholidaytour.com/images/sub_1352694072/thiencungcave-halongbay.jpg
ฮาลองเบย์
ที่มา : http://www.scholidaytour.com/images/sub_1352694072/thiencungcave-halongbay.jpg
สำหรับอ่าวฮาลอง หรือ ฮาลองเบย์ นั้นได้ตามนิทานปรัมปราของชาวเวียดนาม ที่กล่าวถึงมังกรโบราณซึ่งเคยร่อนมาลงในอ่าวนี้เมื่อครั้งดึกดำบรรพ์ และชื่อของฮาลอง ก็แปลได้ว่า มังกรร่อนลง จากความสวยงามและสมบูรณ์ของอ่าวฮาลอง ทำให้ที่นี่ประกาศได้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติ จากองค์กรยูเนสโก ในปี พ.ศ. 2537 ซึ่งเป็นเสมือนประกาศนียบัตรที่ใครเห็นต่างเชื่อถือ จึงทำให้นักท่องเที่ยวที่มาเยือนประเทศเวียดนาม ต้องล่องเรือมาชมอ่าวฮาลองเพื่อสัมผัสกับความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ


เศรษฐกิจอาเซียน

                              เศรษฐกิจอาเซียน


 ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community: AEC)

                 แต่เดิมนั้น ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community: AEC) ยังเป็นเพียงกรอบความตกลงทางการค้า จากเวทีการเจรจาของกลุ่มประเทศอาเซียน ซึ่งมุ่งเน้นเพียงความร่วมมือทางการค้า เพื่อชะลอการเปิดเสรีฯ ซึ่งสหรัฐอเมริกา และกลุ่มประเทศยุโรป พยายามจะรุกเข้ามาในตลาดของภูมิภาคนี้ การรวมกลุ่มกันเพื่อความเข้มแข็งจึงไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ แต่ด้วยการทำงานร่วมกันอย่างยาวนาน ของอาเซียน มีการส่งเสริมความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดในหลายระดับ จึงได้พัฒนาต่อยอดเป็นมากกว่าเรื่องทางการค้า หรือเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังวางรากฐานที่จะเปิดประตูไปสู่ความร่วมมือทางด้านศิลปวัฒนธรรม การแลกเปลี่ยนช่วยเหลือกันในมิติทางสังคม การเดินทางไปมาหาสู่กันได้อย่างสะดวก และกระบวนการต่างๆ ก็เดินหน้าไปทุกขณะ แม้จะไม่เร่งรีบ แต่ก็มียุทธศาสตร์และ Road map วางไว้อย่างชัดเจน จนถึงปัจจุบันนี้ ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC มีผลในทางปฏิบัติมากขึ้นๆ และส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจที่ไม่ได้เตรียมความพร้อมไว้ล่วงหน้า ซึ่งจะต้องปรับตัวอย่างเหมาะสม และคอยติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างใกล้ชิด ไม่เพียงแค่ข้อมูลจากส่วนราชการเท่านั้น แต่ยังต้องแสวงหาโอกาส ความร่วมมือกันของกลุ่มองค์กรภาคเอกชน และภาคประชาสังคมอีกด้วย

ความเป็นมาพอสังเขป 
 
          ที่ประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 9 ที่เกาะบาหลี สาธารณรัฐอินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2546 ได้ให้การรับรองและลงนามในปฏิญญาว่าด้วยความร่วมมือในอาเซียน (Declaration of ASEAN Concord II หรือ Bali Concord II) ซึ่งรวมเรื่องการจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community - AEC) ซึ่งเป็นหนึ่งในเสาหลัก 3 เสาของการจัดตั้งประชาคมอาเซียน (ASEAN Community) โดยอีก 2 เสาหลัก คือเสาหลักด้านการเมืองและความมั่นคง (Political and Security Pillar) และเสาหลักด้านสังคมและวัฒนธรรม (Socio-Cultural Pillar)
         โดยที่ประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 9 ยังเห็นชอบให้มีการรวมตัวเป็น AEC ภายในปี ค.ศ. 2020 โดยอาเซียนจะเป็นตลาดและฐานการผลิตเดียว รวมทั้งมีการเคลื่อนย้ายสินค้า บริการ การลงทุนและแรงงานมีฝีมือโดยเสรีและการเคลื่อนย้ายเงินทุนที่เสรีขึ้น ในการนี้ ผู้นำอาเซียนได้เห็นชอบให้ เร่งรัดการรวมกลุ่มสินค้าและบริการสำคัญ 11 สาขา เป็นสาขานำร่อง โดยมีประเทศสมาชิกรับผิดชอบในการจัดทำ Road map ในแต่ละสาขา ได้แก่
ไทย : การท่องเที่ยวและการบิน
พม่า : สินค้าเกษตรและสินค้าประมง
อินโดนีเซีย : ยานยนต์และผลิตภัณฑ์ไม้
มาเลเซีย : ยางและสิ่งทอ
ฟิลิปปินส์ : อิเล็กทรอนิกส์
สิงคโปร์ : เทคโนโลยีสารสนเทศ รวมทั้งผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง และการบริการด้านสุขภาพ

ในส่วนของไทยนั้น ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี ได้เสนอให้เร่งรัดการจัดตั้ง AEC ให้เร็วขึ้นภายในปี ค.ศ. 2012 และเสนอว่าในการเร่งรัดการรวมตัวอาเซียนน่าจะใช้หลักการ Two Plus โดย 2-3 ประเทศที่พร้อมสามารถที่จะเปิดเสรีในภาคที่ตนมีความพร้อมไปก่อน และประเทศอื่นๆ สามารถเข้าร่วมเมื่อมีความพร้อมแล้ว ซึ่งในประเด็นนี้ นายกรัฐมนตรี สิงคโปร์ ได้กล่าวสนับสนุนข้อเสนอของไทยที่ให้เลื่อนระยะเวลาในการบรรลุประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนให้เร็วขึ้น โดยเห็นว่าน่าจะเป็นปี ค.ศ. 2015
จากที่ประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ (Informal AEM) เมื่อวันที่ 19-20 มกราคม 2547 ที่ยอกยาการ์ตา มอบหมายให้ SEOM เป็นผู้เจรจาเรื่องการจัดทำ Road map สำหรับสินค้าและบริการ 11 สาขาดังกล่าว
ที่ประชุม AEM Retreat ครั้งที่ 10 เมื่อวันที่ 20-21 เมษายน 2547 ที่ประเทศสิงคโปร์ ได้ตกลงให้จัดทำ Framework Agreement สำหรับเรื่องการรวมตัวของสินค้าและบริการ 11 สาขา เพื่อเสนอให้ผู้นำอาเซียนลงนาม และ พิธีสารสำหรับแต่ละสาขาสำหรับให้รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน ลงนาม ในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 10 ณ เมืองเวียงจันทน์ ในเดือนพฤศจิกายน 2547 นอกจากนี้ ยังเห็นชอบให้กำหนดให้ปี ค.ศ. 2010 เป็น deadline สำหรับการรวมตัวของสินค้าและบริการ 11 สาขา โดยให้มีการผ่อนปรนสำหรับประเทศกัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม (CLMV) ได้
ที่ประชุม AEM ครั้งที่ 36 ณ กรุงจาการ์ตา (3 กันยายน 2547) รับรองร่าง Road map สำหรับสินค้าและบริการ 11 สาขา ร่าง Framework Agreement for the Integration of the Priority Sectors และร่างพิธีสาร ASEAN Sectoral Integration Protocol สำหรับ Road map ทั้ง 11 สาขา ไว้ชั้นหนึ่งแล้ว และรับทราบว่าจะมีการประชุม SEOM อีกครั้งเพื่อพิจารณาสรุปผลการเจรจา Road map ในทุกสาขา นอกจากนี้ ที่ประชุมเห็นชอบกับข้อเสนอที่ให้เร่งลดภาษีสินค้าใน Priority Sectors เร็วขึ้นจากกรอบ AFTA เดิม 3 ปี คือ จาก ค.ศ. 2010 เป็นปี 2007 สำหรับสมาชิกอาเซียนเดิม 6 ประเทศ และ ปี 2015 เป็น 2012 สำหรับประเทศ CLMV โดยได้กำหนดเพดานสำหรับสินค้าทั้งหมดใน Priority Sectors ที่ไม่ต้องการเร่งลดภาษี (Negative List) ไว้ที่ 15%
ที่ประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านเศรษฐกิจอาเซียนเมื่อวันที่ 21-22 กันยายน 2547 ที่กรุงเทพฯ สามารถหาข้อสรุปในสาระสำคัญของทุก Road map ได้ ทั้งนี้ กรอบความตกลงว่าด้วยการรวมกลุ่มสาขาสำคัญของอาเซียนกำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับมาตรการร่วมที่จะใช้กับการรวมกลุ่มสินค้าและบริการสำคัญทุกสาขาและมีสาระสำคัญ ได้แก่ การเปิดเสรีการค้าสินค้า การค้าบริการ การลงทุน การอำนวยความสะดวกด้านการค้า และการลงทุนและการส่งเสริมการค้าและการลงทุน และความร่วมมือในด้านอื่นๆ ดังนี้


          1) การค้าสินค้า - จะเร่งลดภาษีสินค้าใน Priority Sectors (เกษตร/ประมง/ผลิตภัณฑ์ไม้/ผลิตภัณฑ์ยาง/สิ่งทอ/ยานยนต์/อิเล็กทรอนิกส์/เทคโนโลยีสารสนเทศ/สาขาสุขภาพ) เป็น 0% เร็วขึ้นจากกรอบ AFTA เดิม 3 ปี คือ จาก 2010 เป็นปี 2007 สำหรับสมาชิกอาเซียนเดิม 6 ประเทศ และ ปี 2015 เป็น 2012 สำหรับประเทศ CLMV โดยได้กำหนดเพดานสำหรับสินค้าทั้งหมดใน Priority Sectors ไม่ต้องการเร่งลดภาษี (Negative List) ไว้ที่ 15%

          2) การค้าบริการ - จะเร่งเปิดเสรีสาขาบริการใน Priority Sectors (สาขาสุขภาพ, e-ASEAN, ท่องเที่ยวและการขนส่งทางอากาศ) ภายในปี ค.ศ. 2010 ทั้งนี้ ให้ใช้ ASEAN-X formula ได้

          3) การลงทุน - จะเร่งเปิดการลงทุนในรายการสงวน (Sensitive List) ภายในปี 2010 สำหรับอาเซียนเดิม 6 ประเทศ ปี ค.ศ. 2013 สำหรับเวียดนามและ 2015 สำหรับกัมพูชา ลาว และพม่า ทั้งนี้ ให้ใช้ ASEAN-X formula ได้ และส่งเสริมการผลิตในอาเซียนโดยการจัดตั้งเครือข่าย ASEAN free trade zones เพื่อส่งเสริมการซื้อวัตถุดิบและชิ้นส่วนที่ผลิตในอาเซียน (outsourcing) และดำเนินมาตรการร่วมเพื่อดึงดูด FDI

           4) การอำนวยความสะดวกด้านการค้าและการลงทุน - ซึ่งประกอบด้วยเรื่องต่างๆ คือ กฎว่าด้วยแหล่งกำเนิดสินค้า พิธีการศุลกากร มาตรฐาน (standard and conformance) การอำนวยความสะดวกด้านการขนส่ง และ logistics service สำหรับการขนส่ง การอำนวยความสะดวกด้านการท่องเที่ยวในอาเซียน และ การเคลื่อนย้ายของนักธุรกิจ ผู้เชี่ยวชาญ ผู้ประกอบวิชาชีพ และ แรงงานมีฝีมือ

           5) การส่งเสริมการค้าและการลงทุน และความร่วมมือในด้านอื่นๆ เช่น ทรัพย์สินทางปัญญา ความร่วมมือด้านอุตสาหกรรม และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ พิธีสารว่าด้วยการรวมกลุ่มรายสาขาของอาเซียน 11 สาขากำหนดมาตรการร่วม ซึ่งคาบเกี่ยวกับทุกสาขาเช่นเดียวกับในกรอบความตกลงฯ และมาตรการเฉพาะสำหรับการรวมกลุ่มแต่ละสาขานั้นๆ โดยรวมอยู่ในแผนการรวมกลุ่ม (Road map) ซึ่งผนวกอยู่กับพิธีสารฯ

ผู้นำแต่ละประเทศอาเซียน

ผู้นำแต่ละประเทศอาเซียน

                                           
                                                                 

1. ราชอาณาจักรไทย

นายกรัฐมนตรี : นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร                  นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาว พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ก้าวสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 28 ของประเทศไทย หลังจากพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2554 ทำให้นางสาวยิ่งลักษณ์ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2554 เป็นต้นมา นับเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย


                                                                  
2. สาธารณรัฐแห่งสหภาพพม่า

ประธานาธิบดี : พลเอกเต็ง เส่ง                สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา หรือ พม่า ปกครองประเทศด้วยระบบประธานาธิบดี ปัจจุบันคือ พลเอกเต็ง เส่ง หรือ เทียน เส่ง อายุ 67 ปี รับตำแหน่งประธานาธิบดีต่อจาก พลเอกอาวุโส ตาน ฉ่วย เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553 หลังจากชนะการเลือกตั้งทั่วไป อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ พลเอกเต็ง เส่ง เคย ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 11 ของพม่า ในช่วงปี พ.ศ. 2550 จนถึง พ.ศ. 2554


                                                               

3. ประเทศมาเลเซีย

นายกรัฐมนตรี : นายนาจิบ ราซะก์              ดาโต๊ะซรี ฮัจญี โมฮัมมัด นาจิบ บิน ตน ฮัจญี อับดุล ราซะก์ หรือ นายนาจิบ ราซะก์ เป็นนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของประเทศมาเลเซีย หรือเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 6 ของประเทศ ปัจจุบันอายุ 59 ปี เกิดมาในครอบครัวนักการเมือง เคยดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี และสังกัดพรรคอัมโน


                                                               

4. เนการา บรูไน ดารุสซาลาม

พระมหากษัตริย์ และนายกรัฐมนตรี: สมเด็จพระราชาธิบดีฮัจญี ฮัสซานัล โบลเกียห์ มูอิซซัดดิน วัดเดาละห์                 ประเทศบรูไน ปกครองด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ กำหนดให้สุลต่านทรงเป็นอธิปัตย์ คือเป็นทั้งประมุข นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โดยรัชกาลปัจจุบัน คือ สมเด็จพระราชาธิบดีฮัจญี ฮัสซานัล โบลเกียห์ มูอิซซัดดิน วัดเดาละห์ ทรงเป็นพระราชาธิบดีพระองค์ที่ 28 แห่งบรูไน มีพระชนมายุ 66 พรรษา เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2510 ดำรงพระอิสริยยศเป็นพระประมุขแห่งรัฐ นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และผู้นำทางศาสนาอิสลามแห่งเนการาบรูไนดารุสซาลาม


                                                                   

5. ราชอาณาจักรกัมพูชา

   นายกรัฐมนตรี : สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน               ฮุน เซน หรือ สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน ปัจจุบันอายุ 61 ปี เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ตั้งแต่อายุ 33 ปี ในยุคสาธารณรัฐประชาชนกัมพูชา นับเป็นนายกรัฐมนตรีที่มีอายุน้อยที่สุดของกัมพูชา ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ จากพระบาทสมเด็จพระนโรดม สีหนุ เป็น สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน เมื่อ พ.ศ. 2536

                                                       
                                                                

6. สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม

ประธานาธิบดี : นายเจือง เติ๊น ซาง             ประเทศเวียดนามมีการปกครองในรูปแบบคอมมิวนิสต์ มีประธานาธิบดีเป็นผู้นำสูงสุดของประเทศ โดยประธานาธิบดีคนปัจจุบัน คือ นายเจือง เติ๊น ซาง อายุ 62 ปี เป็นสมาชิกระดับผู้นำของพรรคคอมมิวนิสต์เวียดนาม ก้าวขึ้นมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 9 เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 หลังจากได้รับคะแนนสูงสุดจากการลงคะแนนเลือกประธานาธิบดี

                                                         

7. สาธารณรัฐอินโดนีเซีย

ประธานาธิบดี : นายซูซีโล บัมบัง ยูโดโยโน                  ประเทศอินโดนีเซีย ปกครองระบอบประชาธิปไตยระบบประธานาธิบดี ปัจจุบันมีนาย ซูซีโล บัมบัง ยูโดโยโน อายุ 63 ปี ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของประเทศ โดยดำรงตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2547 ถือเป็นประธานาธิบดีคนที่ 6 แห่งอินโดนีเซีย และเป็นประธานาธิบดีคนแรกที่ได้รับการเลือกตั้งจากประชาชน ภายหลังมีการปฏิรูปการเมืองและแก้ไขรัฐธรรมนูญ

                    
                                                           
8. สาธารณรัฐฟิลิปปินส์

ประธานาธิบดี : นายเบนิกโน อากีโนที่ 3            ประเทศฟิลิปปินส์เคยเป็นเมืองขึ้นของประเทศสหรัฐอเมริกา จึงรับเอาการปกครองระบอบประชาธิปไตยตามแบบประเทศสหรัฐอเมริกามาใช้บริหาร ประเทศ โดยมีประธานาธิบดีเป็นประมุข และเป็นหัวหน้าคณะผู้บริหารประเทศ ซึ่งประธานาธิบดีคนปัจจุบัน คือ นายเบนิกโน อากีโนที่ 3 หรือ เบนิกโน ซีเมออน โกฮวงโก อากีโนที่ 3 ปัจจุบันอายุ 52 ปี ดำรงตำแหน่งตำแหน่งประธานาธิบดีคนที่ 15 ของประเทศฟิลิปปินส์ และเป็นนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของประเทศ ตั้งแต่วันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2553

                        
                                                       

9. สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว

ประธานาธิบดี : พลโทจูมมะลี ไซยะสอน           สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวมีระบบการปกครองแบบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ ซึ่งทางการลาวใช้คำว่า ระบอบประชาธิปไตยประชาชน โดยมีพรรคประชาชนปฏิวัติลาวเป็นองค์กรชี้นำประเทศ ผู้นำสูงสุดของประเทศเรียกว่า "ประธานประเทศ" เทียบเท่ากับตำแหน่งประธานาธิบดี ซึ่งประธานาธิบดีคนปัจจุบัน คือ พลโทจูมมะลี ไซยะสอน อายุ 76 ปี เป็นประธานาธิบดีคนที่ 6 ของประเทศ และดำรงตำแหน่งเลขาธิการใหญ่คณะบริหารงานศูนย์กลางพรรคประชาชนปฏิวัติลาวอีก หนึ่งตำแหน่ง


                                                        

10. สาธารณรัฐสิงคโปร์

ประธานาธิบดี : นายโทนี ตัน เค็ง ยัม         ประเทศสิงคโปร์ ปกครองในระบอบสาธารณรัฐประชาธิปไตย มีประธานาธิบดีเป็นประมุข ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน คือ นายโทนี ตัน เค็ง ยัม ปัจจุบันอายุ 72 ปี เพิ่งดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี เมื่อวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2554 หลังจากทำคะแนนเฉือนชนะคู่แข่งในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสิงคโปร์ ไปเพียง 0.34% จึงได้ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสิงคโปร์ คนที่ 7 นับแต่นั้นมา

ประวัติอาเซียน ASEAN

      

                                                      ประวัติอาเซียน  ASEAN

อาเซียน หรือ สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Association of Southeast Asian Nations – ASEAN) เกิดขึ้นเมื่อปี 2510 ในยุคแห่งการเผชิญหน้าทางการเมืองในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้บนความแตกต่างทางเชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ และมีนโยบายแข่งขันในการผลิต การส่งออก การตลาด การหาแหล่งทุนและเทคโนโลยี ทำให้การเจริญเติบโตขององค์กรเป็นไปอย่างช้า ๆ ปฏิญญาอาเซียนหรือปฏิญญากรุงเทพฯ ซึ่งเป็นปฏิญญาในการก่อตั้งอาเซียน ได้ระบุวัตถุประสงค์ของการรวมตัวกัน ดังนี้ เร่งรัดความ เจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ในภูมิภาคโดยอาศัย ความร่วมมือระหว่างกันส่งเสริม พื้นฐานและเสถียรภาพ ในภูมิภาค โดยยึดหลักยุติธรรมและกฎเกณฑ์ของกฎบัติ สหประชาชาติส่งเสริมความร่วมมือและความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในด้านต่างๆ ได้แก่ เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม วิชาการ วิทยาศาสตร์ และการบริหารช่วยเหลือซึ่งกันและกันในรูปของการฝึกอบรม วิจัย ในด้านการศึกษา วิชาชีพ เทคนิค และการบริหารร่วมมือกันอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นในด้านเกษตรกรรม อุตสาหกรรม การขยายการค้า การศึกษา ปัญหาการค้าโภคภัณฑ์ระหว่างประเทศ การปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวก การขนส่งและคมนาคม และการยกระดับมาตรฐานการครองชีพของประชาชนส่งเสริมการศึกษาของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รักษาความร่วมมือที่ใกล้ชิดและเป็นประโยชน์กับองค์การระหว่างประเทศและภูมิภาคที่มีวัตถุประสงค์คล้ายคลึงกัน และหาแนวทางร่วมมืออย่างใกล้ชิดระหว่างกันมากขึ้น

          ในช่วง 10 ปีแรกหลังจากการก่อตั้ง อาเซียนให้ความสำคัญต่อการจัดทำกรอบงานอย่างกว้างๆ และยืดหยุ่นได้ เพื่อให้สอดรับกับ ความคิด เห็นอันหลากหลายของสมาชิก และเพื่อให้เป็นรากฐานอันมั่นคงสำหรับจุดมุ่งหมายร่วมกันต่อไป ดังนั้น แม้ว่าจะไม่ค่อยมีผลสำเร็จ เป็นรูป ธรรมมากนัก แต่ก็เป็นประโยชน์ต่อการสานสัมพันธ์ในการทำงานร่วมกันระหว่างรัฐบาลอาเซียน ทำให้เกิดค่านิยมที่ดี และวาง รากฐาน ความ สำเร็จในอนาคต ทิศทางในการดำเนินงานของอาเซียนเริ่มชัดเจนขึ้นในปี 2520 เมื่อผู้นำอาเซียนประชุมสุดยอดครั้งแรก ณ เกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย และได้ลงนามในปฏิญญาสมานฉันท์อาเซียน (Declaration of ASEAN Concord) และสนธิสัญญาไมตรีและ ความ ร่วมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Treaty of Amity and Cooperation in Southeast Asia: TAC) ซึ่งขยาย ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ของ อาเซียนไปอย่างกว้างขวาง ครอบคลุมถึงความร่วมมือด้านโภคภัณฑ์พื้นฐานโดยเฉพาะอาหารและพลังงาน การจัดตั้งอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ การขยายการค้าระหว่างประเทศสมาชิก การจัดตั้งระบบสิทธิพิเศษทางการค้าระยะยาว การปรับปรุงการเข้าสู่ตลาดนอกอาเซียน และการ แก้ไขปัญหาโภคภัณฑ์ระหว่างประเทศ และประเด็นเศรษฐกิจโลกอื่น ๆ

ความร่วมมือทางเศรษฐกิจของอาเซียนในระยะแรก
      อาเซียนตระหนักดีว่า ความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจเป็นปัจจัยสำคัญในการรักษาสันติภาพ เสถียรภาพ และความมั่นคงของภูมิภาคดังนั้น นอกจากความร่วมมือทางการเมือง สังคม การศึกษา และวัฒนธรรม แล้วอาเซียนจึงมุ่งมั่นที่จะขยาย ความร่วมมือทาง เศรษฐกิจระหว่าง กันมา โดยตลอดอีกด้วย

          ในปี 2520 รัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนได้ลงนามในความตกลงว่าด้วยสิทธิพิเศษทางการค้าอาเซียน หรือ ASEAN PTA (Preferential Trading Arrangements: PTA) ซึ่งเป็นการ ให้สิทธิพิเศษโดยสมัครใจ และแลกเปลี่ยนสินค้ากับสินค้า สิทธิพิเศษส่วนใหญ่เป็น การลด ภาษี ศุลกากรขาเข้า และการผูกพันอัตราอากรขาเข้า ณ อัตราที่เรียกเก็บอยู่ หลังจากนั้นก็มีโครงการความร่วมมือต่างๆ ตามมา โดยเฉพาะด้านอุตสาหกรรมมีถึง 4 โครงการ ได้แก่ โครงการอุตสาหกรรมอาเซียน (ASEAN Industrial Project: AIP) ปี 2523 โครงการ แบ่งผลิตทางอุตสาหกรรมอาเซียน (ASEAN Industrial Complementation: AIC) ปี 2524 โครงการร่วมลงทุนด้านอุตสาหกรรมของอาเซียน (ASEAN Industrial Joint Ventures: AIJV) ปี 2526 โครงการแบ่งผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ (Brand-to-Brand Complementation: BBC) ปี 2532

          จนกระทั่งปี2533องค์ประกอบสำคัญของเขตการค้าเสรีอาเซียนหรืออาฟตาเริ่มปรากฏให้เห็นเป็นครั้งแรก เมื่อรัฐมนตรีเศรษฐกิจ อาเซียนไดตกลงใช้อัตราภาษีพิเศษที่เท่ากันสำหรับสินค้าอุตสาหกรรมบางชนิด รวมทั้งซีเมนต์ ปุ๋ย และเยื่อกระดาษ อย่างไรก็ตาม โครงการความร่วมมือทางเศรษฐกิจเกือบทั้งหมดของอาเซียนก่อน การจัดตั้งอาฟตาไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ซึ่งอาจเกิดจากปัจจัย ดังนี้ สมาชิกอาเซียนไม่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิด ทั้งด้านการเมืองและเศรษฐกิจ แม้จะอยู่ในภูมิภาคเดียวกัน การรวมตัวเกิด จากการ คุกคาม ความมั่นคงจากภายนอก มิใช่จากสำนึกแห่งความเป็น ภูมิภาคเดียวกันแต่ละประเทศ อยู่ระหว่างการพัฒนา อุตสาหกรรมภายในประเทศ จึงมองกันเป็นคู่แข่งการส่งออก และเห็นว่าภายนอกภูมิภาค คือ แหล่งเงินทุนและเทคโนโลยี โครงสร้างองค์กรอ่อนแอ สำนัก เลขาธิการอาเซียน มีงบประมาณจำกัด ไม่มีอำนาจและความเป็นอิสระเพียงพอที่จะกำหนดความร่วมมือทางเศรษฐกิจ

อาฟตา : ความสำเร็จครั้งสำคัญของอาเซียน

         อาเซียนได้พยายามศึกษาหาแนวทางและมาตรการที่จะขยายการค้าระหว่างกันให้มากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะ การเปิดเสรีทางการค้าระหว่างกัน โดยใช้อัตราภาษีพิเศษที่เท่ากัน (Common Effective Preferential Tariff: CEPT) สำหรับสินค้าของอาเซียน ที่ประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 4 เมื่อเดือนมกราคม 2535 ณ ประเทศ สิงคโปร์ จึงได้มีมติเห็นชอบข้อเสนอของไทย โดยนายกรัฐมนตรี อานันท์ ปันยารชุน ในการเริ่มจัดตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียน (ASEAN Free Trade Area: AFTA) ตามกรอบความตกลงแม่บทว่าด้วยการขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจของอาเซียน (Framework Agreement on Enhancing ASEAN Economic Cooperation) และความตกลงว่าด้วยการใช้อัตราภาษีพิเศษที่เท่ากันสำหรับเขตการค้าเสรีอาเซียน [Agreement on the Common Effective Preferential Tariff (CEPT) Scheme for the ASEAN Free Trade Area (AFTA)]

          ประเทศสมาชิกอาเซียนซึ่งได้ร่วมก่อตั้งอาฟตาขึ้นในขณะนั้น มีเพียง 6 ประเทศ ได้แก่ บรูไน ดารุสซาลาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และไทย ต่อมาภายหลังอาเซียนได้ขยายจำนวนสมาชิกเป็น 10 ประเทศ โดยเวียดนามเข้าเป็นสมาชิกอาเซียนลำดับที่ 7 ในปี 2538 ลาวและพม่า เป็นสมาชิกลำดับที่ 8 และ 9 ในปี 2540 และกัมพูชาเป็นสมาชิกลำดับที่ 10 ในปี 2542 อาเซียนจึงเป็นกลุ่มเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่กลุ่มหนึ่งของโลกมีประชากรรวมกันกว่า 500 ล้านคน

ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอื่น ๆ ของอาเซียน

       เพียงเวลาไม่ถึง 10 ปีหลังจากการจัดตั้งอาฟตาในปี 2536 ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอาเซียนได้มีการขยายตัวทั้งในเชิงลึกและเชิงกว้าง ในเชิงลึก เช่น ปี 2537 – เร่งรัดการจัดตั้งอาฟตาจาก 15 ปี เป็น 10 ปี นำสินค้าซึ่งเดิมยกเว้นลดภาษีชั่วคราวเข้ามาลดภาษี ขยายขอบเขตสินค้าที่ต้องลดภาษีให้ครอบคลุมสินค้าเกษตรไม่แปรรูป ขยายขอบเขตความร่วมมืออาเซียนไปสู่ด้านการขนส่งและสื่อสาร สาธารณูปโภค บริการ และทรัพย์สินทางปัญญา ปี 2538 - เร่งรัดอาฟตาโดยขยายรายการสินค้าที่จะลดภาษีเหลือร้อยละ 0-5 ในปี 2543 และให้มีรายการ ที่ลดภาษีเหลือร้อยละ 0 ให้มากที่สุด และให้เริ่มเปิดการเจรจาเพื่อเปิดเสรีบริการ ให้พิจารณาการจัดตั้งเขตการลงทุนอาเซียน และให้มีโครงการความร่วมมือด้านอุตสาหกรรม เพื่อเสริมสร้างอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีเป็นพื้นฐานและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยเน้นการให้สิทธิประโยชน์ส่วนลดภาษีเหลือร้อยละ 0-5 ปี 2542 – ประกาศให้อาฟตาเป็นเขตการค้าเสรีที่แท้จริง โดยจะลดภาษีสินค้าทุกรายการลงเหลือร้อยละ 0 ในปี 2553 และ 2558 สำหรับสมาชิกเดิมและสมาชิกใหม่ ตามลำดับ

          การขยายความร่วมมือทางเศรษฐกิจในเชิงกว้างของอาเซียนอื่น ๆ นอกจากอาฟตา เช่น นอกจากความร่วมมือทางเศรษฐกิจการค้าดังที่กล่าวข้างต้น อาเซียนได้ขยายความร่วมมือครอบคลุมสาขาต่างๆ อย่างกว้างขวาง อาทิ การคลัง เทคโนโลยีและการสื่อสาร โทรคมนาคม เกษตรและป่าไม้ การ ขนส่ง พลังงาน แร่ธาตุ และการท่องเที่ยว


วิวัฒนาการความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่สำคัญของอาเซียนจนถึงแผนการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน
       อาเซียนมีการเจริญเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไป ให้ความสำคัญต่อการจัดทำกรอบงานอย่างกว้างๆ และยืดหยุ่นได้ เพื่อให้สอดรับกับความคิดเห็นอันหลากหลายของสมาชิก และเพื่อให้เป็นรากฐานอันมั่นคงสำหรับจุดมุ่งหมายร่วมกันต่อไป รวมทั้งทำให้เกิดค่านิยมที่ดี และวางรากฐานความสำเร็จในอนาคต

สัตว์ประจำชาติอาเซียน

                               

สัตว์ประจำชาติอาเซียน


                                           สัตว์ประจำชาติไทยของเรา ก็คือ ช้าง (Elephant)


                                                                                         

                                         
ตระกูลช้าง เป็นไปตามอนุกรมวิธาน ดังนี้
Kingdom : Animalia
Phylum : Chordata
Class : Mammalia
Order : Proboscidea

ลักษณะเด่นของสัตว์ใน Proboscidea คือ มีร่างกายใหญ่โต จมูกและริมฝีปากบนยาว ที่เรียกว่า “งวง” ใช้สำหรับหายใจ จับสิ่งของ และจับอาหารเข้าปาก ฟันหน้าเจริญไปเป็น “งา” ฟันกรามมีขนาดใหญ่ ไม่เกิน 1 คู่ (แต่ช้างโบราณบางชนิด เช่น Dinitherium มีงาที่กรรไกรล่างคู่หนึ่ง และช้างโบราณพวก Tetrabelodon มีงาที่กรรไกรบนคู่หนึ่ง และที่กรรไกรล่างอีกคู่หนึ่ง) ไม่มีฟันเขี้ยว ขาใหญ่ตรงลักษณะคล้ายต้นเสา ขาหน้ามีกระดูก radius และ ulnar บริบูรณ์ ขาหลังก็มีกระดูก tibia และ fibula บริบูรณ์ เท้ามีนิ้วข้างละ 5 นิ้ว แต่เล็บนิ้วก้อยบางตัวนั้นชักจะค่อยๆ หายไป มีกระเพาะอาหารแบบธรรมดา ไม่ได้เป็นกระเพาะอาหาร Compound แบบสัตว์เคี้ยวเอื้อง อย่างวัวหรือควาย ตัวผู้ลูกอัณฑะอยู่ในท้อง ไม่อยู่ในถุงห้อยออกมาอย่างสัตว์บกเลี้ยงลูกด้วยนมชนิดอื่นๆ เช่น เสือ วัว ควาย กวาง และสุนัข เป็นต้น ส่วนตัวเมียมดลูกแยกเป็น Bicornuate และมีเต้านม 1 คู่ อยู่ที่หน้าอกระหว่างขา


                                  สัตว์ประจำชาติบรูไน  คือ  เสือโคร่ง 

                                   


 เสือโคร่ง หรือ เสือลายพาดกลอน (อังกฤษ: Tiger, จีน: 虎, ญี่ปุ่น: トラ, สเปน: Tigre) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม อันดับสัตว์กินเนื้อ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Panthera tigrisในวงศ์ Felidae จัดเป็นสัตว์ที่มีขนาดที่สุดในวงศ์นี้ และเป็นเสือสายพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุดด้วย เสือโคร่งนั้นเป็นสัตว์ประจำชาติบรูไน


                                 สัตว์ประจำชาติกัมพูชา คือ กูปรี

                      

 kouprey เป็นสัตว์ประจำชาติของประเทศกัมพูชา มันเป็นวัวป่าเหมือนสัตว์ มันอยู่ในฝูงถึง 20 kouprey เป็นหนึ่งในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยยากที่สุดในโลก เจ้าชายสีหนุแห่งกัมพูชากำหนด kouprey เป็นสัตว์ประจำชาติของประเทศในปี 1960


                            สัตว์ประจำชาติฟิลิปปินส์  คือ  นกอินทรีฟิลิปปินส์

  
                           

 นกอินทรีฟิลิปปินส์ หน้าตาสง่าผ่าเผยเป็นสมาชิกศูนย์นกอินทรีในเขตดาเวา ทางใต้ของประเทศ เป็นนกพันธุ์หายากและเป็นอินทรีพันธุ์ใหญ่ที่สุดในโลก บุคคลใดยิงและกินจะถูกศาลฟิลิปปินส์ปรับราว 72,000 บาท คนแรกที่ประเดิมโทษชื่อ นายไบรอัน บาโลน เป็นชาวนา ถูกตัดสินความผิดเมื่อ 23 พ.ค.ที่ผ่านมา (ภาพ-เอเอฟพี) / นสพ.ข่าวสด เเละนกอินทรีฟิลิปปินส์ยังถือเป็นสัตว์ประจำประเทศฟิลิปปินส์


                                         สัตว์ประจำชาติมาเลเซีย  คือ  เสือมลายู

                                       


เสือมลายู มลายูเสือเป็นสัตว์ประจำชาติของประเทศมาเลเซีย มันที่อยู่อาศัยภาคใต้และภาคกลางของคาบสมุทรมลายู เสือเป็นภาพในแขนเสื้อของมาเลเซีย มันเป็นสัญลักษณ์ของความกล้าหาญและความแข็งแรงให้กับชาวมาเลเซีย นอกจากนี้ยังเป็นชื่อเล่นของทีมฟุตบอลชาติมาเลเซีย


                                        สัตว์ประจำชาติพม่า  คือ เสือ

                     
                                

เสือ เสือเป็นสัตว์ประจำชาติของพม่าHukaung หุบเขาเสือสำรองในประเทศพม่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เสือใหญ่ที่สุดในโลก


                               สัตว์ประจำชาติลาว คือ  ช้างอินเดีย

                                     
                                 


สัตว์ประจำชาติของประเทศลาวเป็นช้างอินเดีย ลาวเป็นที่รู้จักกันในฐานะอดีตล้านช้างหรือดินแดนแห่งล้านช้าง แต่วันนี้มีน้อยเป็น 1,500 รวมทั้งช้างป่าและในประเทศลาวโดด 


                            สัตว์ประจำชาติอินโดนีเซีย  คือ มังกรโคโมโด

              
                               

มังกรโคโมโด เป็นสัตว์ประจำชาติของอินโดนีเซีย พวกเขาเป็นกิ้งก่าที่ใหญ่ที่สุดและหนักบนโลก พวกเขาจะพบกับโคโมโดเกาะในอินโดนีเซีย


                                                    สัตว์ประจำชาติเวียดนาม คือ  มังกร


                            


มังกร (อังกฤษ: dragon; จากละติน: draco) เป็นสัตว์วิเศษที่รู้จักกันในวรรณคดีของจีนและตะวันตก แม้จะใช้คำว่ามังกร (dragon) เหมือนกัน แต่มังกรของจีนและตะวันตกนั้นสื่อถึงสัตว์ต่างชนิดกัน มังกรของจีนมีรูปร่างลักษณะจัดอยู่ในประเภทสัตว์เลื้อยคลานหรืองู ไม่มีปีก แต่สามารถบินไปในอากาศได้ ส่วนมังกรของตะวันตกจะมีขา มีปีกและสามารถพ่นไฟได้ นอกจากนี้ มังกร ยังเป็นสัตว์ประจำชาติเวียดนาม

                    
                                 สัตว์ประจำประเทศสิงคโปร์  คือ  สิงโต


                             

                 
สิงโตเป็นสัตว์ประจำชาติของสิงคโปร์ สิงคโปร์เป็นคำภาษาอังกฤษสำหรับ “Singapura” ซึ่งหมายความว่า Lion City สิงโตมีความหมายเป็นชื่อของสิงคโปร์ที่ได้มาจากภาษาสันสกฤตเก่าระยะ simha หรือสิงห์หมายถึง “สิงโต”